เลือกภาษา
close
อะไรดีกว่ากันนะ? การผ่าคลอด หรือการคลอดแบบธรรมชาติ
บทความและข้อมูลด้านสุขภาพโดย Pulse

อะไรดีกว่ากันนะ? การผ่าคลอด หรือการคลอดแบบธรรมชาติ

 

คุณกำลังลังเลอยู่ใช่ไหมว่าระหว่างการคลอดแบบธรรมชาติด้วยตนเองหรือการผ่าคลอดจะดีต่อคุณและลูกน้อยมากกว่ากัน แม้จะไม่มีวิธีไหนที่ “ดีกว่า” อีกวิธีอย่างแน่ชัด (ทั้งสองวิธีนี้มีความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่แตกต่างกัน) ข้อมูลต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะกับคุณได้

เราจะมาตอบคำถามที่มักถูกถามจากเหล่าคุณแม่ รวมทั้งมารับคำแนะนำจาก Dr. Shohreh Beski จาก OBGYN เพื่อไขข้อสงสัยของคุณให้กระจ่าง!

 

1. การคลอดแบบผ่าตัดมีกระบวนการยังไงบ้าง?

การคลอดแบบผ่าตัดโดยกิจลักษณะ คุณจะถูกนำเข้าสู่ห้องผ่าตัด ซึ่งจะมีผ้ามากั้นเหนือบริเวณหน้าท้องของคุณ เพื่อปิดกั้นการมองเห็น (ไม่มีใครอยากเห็นตัวเองระหว่างผ่าตัดใหญ่ใช่ไหมล่ะ) 

เมื่อมดลูกเปิด แพทย์จะทำการผ่าเป็นเส้นแนวนอนขนาดประมาณ 4-6 นิ้วเหนือบริเวณหัวหน่าวของคุณ หลังจากนั้นแพทย์จะทำการผ่าอีกครั้งนึงที่ช่วงล่างของมดลูก ทารกจะถูกนำออกมาตรวจสอบโดยเบื้องต้น และทำความสะอาด หลังจากนั้นแพทย์จะตัดสายสะดือและนำรกออกจนหมด เย็บปิดแผลมดลูกและหน้าท้องตามปกติ

 

มันจะเจ็บไหมนะ?

ก็ไม่เชิง โดยเทคนิคแล้วการผ่าคลอดถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ คุณแม่บางท่านจึงต้องได้รับยาเพื่อระงับความรู้สึก เช่น ยาสลบ (anesthesia) แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นยาชา ซึ่งคุณแม่จะยังรู้สึกตัวในระหว่างการผ่าตัดได้

อย่างไรก็ตาม แม้ยาชาช่วยลดความเจ็บปวดได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้สึกอะไรเลย ฤทธิ์ของยาชามีความแตกต่างกันไปในคุณแม่แต่ละท่าน คุณแม่บางท่านรู้สึกแน่นตึง หรือบางท่านนอาจรู้สึกแบบอื่นๆ ระหว่างการผ่าตัดด้วย

 

2. แล้วถ้าคลอดเองตามธรรมชาติจะเป็นยังไงนะ?

ในระหว่างการคลอดตามธรรมชาติ กล้ามเนื้อมดลูกจะบีบตัวเพื่อดันกระดูกก้นกบที่ด้านบนของปากมดลูก

ในระหว่างการคลอด ปากมดลูกของคุณจะขยายออกจนเปิดกว้างพอที่จะรองรับศีรษะและไหล่ของทารกได้ จากนั้นศีรษะของทารกจะยืดฝีเย็บ (ซึ่งเป็นบริเวณพื้นผิวระหว่างช่องคลอดและทวารหนัก) ไปจนกว่าทารกจะเคลื่อนออกจากช่องคลอดได้

 

มันจะเจ็บไหมนะ?

ถ้าคุณลองคิดตาม การคลอดเองตามธรรมชาติก็คล้ายกับการมีลูกโบวลิ่งจากบริเวณระหว่างช่องคลอดและทวารหนักของคุณเลย ซึ่งแน่นอนมันก็คงจะเจ็บ แต่ยาชาจะช่วยให้คุณเจ็บน้อยลงได้อย่างแน่นอน!

ทิศทางของหน้าทารกที่หันหน้าไปในช่องคลอดก็มีผลเหมือนกัน ตามปกติทารกจะคว่ำหน้าลง แต่ถ้าหากทารกหงายหน้าขึ้น ก็อาจทำให้ปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรงระหว่างการบีบตัว ทำให้ต้องเบ่งแรงและนานมากขึ้นอีกด้วย

 

3. ระยะเวลาพักฟื้นต่างกันไหม?

หากการคลอดเป็นไปตามปกติ การคลอดแบบธรรมชาติจะใช้ระยะเวลาฟื้นตัวสั้นและง่ายกว่าแบบผ่าคลอด

การผ่าคลอดเป็นการผ่าร่างกาย จึงจะใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่ามาก (อาจจะถึง 6-8 อาทิตย์ที่ยังใช้ชีวิตปกติไม่ได้) เพราะคุณทั้งต้องรักษาตัวจากการผ่าท้องขนาดใหญ่ และดูแลลูกอ่อนไปด้วย ซึ่งทำให้แกนกลางลำตัวของคุณที่มีความสำคัญมากต่อการคเลื่อนไหวต้องสู้เป็นพิเศษ แต่ถ้าคลอดเองตามธรรมชาติ ในวันถัดมาคุณก็อาจลุกขึ้นมาวิ่งได้แล้ว!

 

 

4. คุณจะอาจมีภาวะแทรกซ้อนแบบไหนได้บ้าง?

คุณอาจจะเสียเลือดจากการผ่าคลอดมากกว่าการคลอดแบบธรรมชาติ จึงจะมีโอกาสตกเลือดมากกว่าเล็กน้อย และเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ ที่มีโอกาสติดเชื้อและเป็นลิ่มเลือดได้เช่นกัน

ในขณะที่การคลอดแบบธรรมชาติก็มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้หลากหลายเช่นกัน เช่น ความเสี่ยงเป็น shoulder dystocia คือการที่ทารกติดอยู่ระหว่างทางออกจากช่องคลอด เนื่องจากจะต้องนำทารกออกมาโดยเร็วที่สุดอาจะทำให้ต้องหักกระดูกไหปลาร้าเพื่อนำตัวออกมา

หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนเล็กน้อยจากการคลอดแบบธรรมชาติที่พบได้ทั่วไป คือการฉีกขาดของช่องคลอด เมื่อศีรษะของทารกเคลื่อนผ่านฝีเย็บ ผิวหนังสามารถยืดออกจนสุดและฉีกขาดได้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะนี้สูตินรีแพทย์อาจใช้น้ำมันมะกอกเพื่อช่วยให้ศีรษะของทารกลื่นไหล ฝีเย็บยืดหยุ่น เคลื่อนออกมาได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตัดฝีเย็บเพื่อช่วยคลอดก็จำเป็น แผลเย็บปิดได้ง่าย ส่วนใหญ่รักษาได้เร็ว และมักไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของคุณแม่

ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวที่อาจเกิดกับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติได้แก่ ปัญหาการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ และภาวะที่ผนังช่องคลอดและมดลูกหย่อน ปัญหาการควบคุมกระเพาะปัสสาวะส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากถึงหนึ่งในสาม ส่วนภาวะที่ผนังช่องคลอดและมดลูกหย่อน ซึ่งอาจหย่อนออกมานอกช่องคลอด เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมาก และมักส่งผลกระทบต่อผู้หญิงเพียงในช่วงบั้นปลาย

 

5. แล้วสรุปแบบไหนดีกับเราและลูกกันนะ?

ถ้าดูจากภาวะแทรกซ้อนของทั้งสองวิธี ไม่ได้มีวิธีไหนดีกว่ากันนัก

ผลการศึกษาพบว่า ทารกที่เกิดจากการผ่าคลอดจะมีอัตราการทำงานของปอดที่ต่ำกว่าทันทีกลังจากคลอด แต่ก็จะดีขึ้นใน 2-3 วัน และอาจมีโรคภูมิแพ้และหอบหืดในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การให้นมลูกจากเต้าช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผื่นผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้ ไข้ละอองฟาง และสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกของคุณได้ทันที

 

ส่วนตัว Dr. Beski มีความลำเอียงโดยส่วนตัวเล็กน้อยและแนะนำการผ่าคลอดมากกว่า

“ทั้งสองวิธีก็เหมือนๆ กัน เพียงแต่คุณจะสูญเสียกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจากการคลอดทางช่องคลอด และอาจต้องจัดการกับรอยแผลเป็น ความเจ็บปวดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ในอนาคต และอาจมีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้จากการคลอดแบบธรรมชาติ จึงอยากแนะนำการผ่าคลอดมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนที่เลือกที่จะคลอดบุตรตามธรรมชาติจะมีอาการแทรกซ้อนในระยะยาวเหล่านี้ทั้งหมด แต่ในฐานะที่ฉันเป็นสูตินรีแพทย์ เห็นคนไข้จำนวนหนึ่งต้องรับมือกับปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ในภายหลัง ฉันจึงอยากแนะนำ และคิดว่าการผ่าคลอดจะปลอดภัยกว่า โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในประเทศที่สามารถทำการผ่าตัดได้โดยปลอดภัย”

 

6. ฉันสามารถเลือกวิธีคลอดในแบบที่อยากได้ได้ไหม?

อันนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่คนรุ่นใหม่จะเลือกการผ่าคลอดมากกว่า เนื่องจากไม่อยากรับมือกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อุจจาระไม่อยู่ ฯลฯ

หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คุณสามารถปรึกษากับแพทย์เพื่อนัดหมายการผ่าคลอดบุตรได้ (แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอยู่และระบบสุขภาพ/การประกันของคุณด้วย)

ในบางกรณี การผ่าคลอดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นทางเลือกที่เสี่ยงน้อยที่สุด เนื่องจากแพทย์จะไม่แนะนำให้คลอดทางช่องคลอดหากทารกไม่ก้มหน้า

สุดท้ายแล้ว การคลอดบุตรด้วยเทคนิควิธีไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับความปลอดภัยและสุขภาพของทั้งคุณและลูกน้อย!

 

พบกับผู้เชี่ยวชาญของเรา:

Dr. Shohreh Beski เป็นสูตินรีแพทย์และสูตินรีแพทย์ที่ปรึกษาที่ Royal London Teaching Hospital ด้วยประสบการณ์กว่า 25 ปีในการทำงานทั้งในภาคเอกชนและสำหรับ National Health Services (NHS) ในสหราชอาณาจักร เธอมีประสบการณ์มากมายในทุกด้านของสุขภาพของผู้หญิง อาทิเช่น เนื้องอก, ปวดกระดูกเชิงกราน, เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, ประจำเดือนมามาก, รังไข่มีถุงน้ำหลายใบ, ช่องคลอดฝ่อ และโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ เธอเป็นผู้บุกเบิกการรักษาที่แปลกใหม่ที่เรียกว่า Lipogems ซึ่งใช้เซลล์สร้างใหม่ของคุณเองฟื้นฟูสุขภาพช่องคลอดและปรับปรุงสภาพช่องคลอด ได้แก่ การฝ่อในช่องคลอด อาการผิดปกติ (ปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์) โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และ อาการคัน / ช่องคลอดแห้ง

เริ่มต้นมีสุขภาพที่ดีได้แล้ววันนี้ด้วยแอปพลิเคชัน Pulse by Prudential

ดาวน์โหลดเลย

 QR-code

 appstore  googleplay

Pulse by Prudential รองรับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชัน 11.0 ขึ้นไป | Android เวอร์ชัน 7.0 ขึ้นไปเท่านั้น