รู้มั้ยว่าช่วงอายุ 0-6 ปี เป็นนาทีทองของการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของเด็ก
เป็นช่วงที่สมองของเด็กจะมีพัฒนาการได้เร็วที่สุด
พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรจะพลาดช่วงเวลาสำคัญในการกระตุ้นพัฒนาการทางสมองนี้ไป
และหันมาเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดในทุก ๆ ด้าน
กรอบการดูแลอย่างเอาใจใส่ หรือ Nurturing Care คืออะไร
องค์การอนามัยโลก องค์การยูนิเซฟ ธนาคารโลก (World Bank) ร่วมกับภาคีอื่น ๆ จัดทำกรอบการดูแลเด็กปฐมวัย หรือ Nurturing Care Framework (NCF) เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เข้าใจหลักการ 5 ข้อในการดูแลเด็กให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีศักยภาพ
มีสุขภาพดี
สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การเรียนรู้เต็มศักยภาพ ทั้งเด็กและผู้ดูแล ควรมีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี เพราะสุขภาพของผู้ดูแลย่อมส่งผลถึงความสามารถในการดูแลเด็กอย่างเต็มที่ด้วย
-
มีการส่งเสริมสุขภาพ ทั้งกายและใจกัน
-
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยการได้รับวัคซีน อย่างครบถ้วน
-
การติดตามการเจริญเติบโต
-
การเข้าถึงบริการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคและดูแลรักษา
-
ดูแลความสะอาดและป้องกันโรคต่าง ๆ
-
การดูแลเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการหรือมีความพิการ
มีโภชนาการที่เพียงพอ
โภชนาการของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์และเด็ก เพราะภาวะโภชนาการของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์นั้นส่งผลต่อสุขภาพและการพัฒนาของเด็กได้
-
การดูแลโภชนาการของแม่ตั้งครรภ์
-
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
-
อาหารตามวัยที่มีคุณภาพ
-
การเสริมสารอาหารสำหรับแม่และเด็ก (ตามความจำเป็น)
-
การออกกำลังกายและนอนหลับอย่างเพียงพอ
-
การดูแลรักษาภาวะทุพโภชนาการ
-
การป้องกันโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน
การปกป้องคุ้มครองและความปลอดภัย
สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและครอบครัว ปราศจากอันตรายต่อร่างกาย ความเครียด ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
-
การจดทะเบียนเกิด
-
การเข้าถึงอาหารและน้ำสะอาด
-
อากาศที่สะอาด
-
สุขอนามัยและสภาพแวดล้อมที่ดี
-
ปกป้องเด็กจากความรุนแรง การล่วงละเมิด การถูกทอดทิ้ง
-
พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเล่น
-
ความช่วยเหลือทางสังคมสำหรับครอบครัวที่เปราะบาง
โอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ ทั้งที่บ้านและสถานพัฒนาเด็ก
โอกาสที่เด็กจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งทางบวกและทางลบ ส่งผลต่อการพัฒนาของสมองของเด็ก โดยเป็นรากฐานสำหรับการเรียนรู้ในขั้นถัดไป
-
มีกิจกรรมที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหว และได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้ยินและได้ใช้ภาษา และได้สำรวจสิ่งรอบตัว
-
เด็กและผู้ดูแลได้เล่น พูดคุย ยิ้มให้ ทำท่าทางต่าง ๆ เล่นเกมง่าย ๆ และทำกิจวัตรประจำวัน
-
อ่านนิทาน ดูภาพในหนังสือ
-
เล่นกับสิ่งของในบ้านที่เหมาะสมกับวัย
-
สถานพัฒนาเด็ก/สถานเลี้ยงดูเด็ก มีมาตรฐาน
การดูแลตอบสนองอย่างใส่ใจ ต่อความต้องการและความรู้สึกของเด็ก
การเลี้ยงดู “การดูแลแบบตอบสนอง” หรือ Responsive caregiving สำคัญที่สุดในช่วง 0-2 ขวบ ความสามารถของพ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กในการสังเกต เข้าใจ และตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ ของเด็กที่ส่งมาให้ได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม เป็นพื้นฐานที่จะช่วยส่งเสริมอีก 4 ด้าน ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
-
ส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีวิธีการเลี้ยงดูที่ตอบสนองต่อเด็กอย่างใส่ใจ ไม่ละเลยการตอบสนองในสิ่งที่เด็กส่งมา เช่น สบตา ยิ้ม กอด ชม หรือเมื่อเด็กชี้ และถามจากความสงสัย ควรจะให้ข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อเกิดการเรียนรู้ จดจำที่ดี
-
ช่วยให้ผู้ดูแลสังเกตสัญญาณต่างๆ และตอบสนองอย่างเหมาะสม เช่น สํญญาณของความหิว ความเจ็บป่วย ความรู้สึกกลัว ความชอบ ความสนใจที่จะเล่น
-
สนับสนุนผู้ดูแลให้สื่อสารกับเด็ก และมีปฏิสัมพันธ์ในทางบวก ในช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน เช่น การเล่นด้วยกันกับเด็กแทนการปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียวตลอด คุณอาจจะไม่จำเป็นจะต้องมีเวลาและเล่นกับเขาทุกครั้ง เพียงแต่ทุกครั้งที่มีเวลากับเขาให้ใช้เวลานั้นอย่างใส่ใจและคุ้มค่ามากที่สุด
รู้มั้ยว่าช่วงอายุ 0-6 ปี เป็นนาทีทองของการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของเด็ก
เป็นช่วงที่สมองของเด็กจะมีพัฒนาการได้เร็วที่สุด
พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรจะพลาดช่วงเวลาสำคัญในการกระตุ้นพัฒนาการทางสมองนี้ไป
และหันมาเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดในทุก ๆ ด้าน
กรอบการดูแลอย่างเอาใจใส่ หรือ Nurturing Care คืออะไร
องค์การอนามัยโลก องค์การยูนิเซฟ ธนาคารโลก (World Bank) ร่วมกับภาคีอื่น ๆ จัดทำกรอบการดูแลเด็กปฐมวัย หรือ Nurturing Care Framework (NCF) เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เข้าใจหลักการ 5 ข้อในการดูแลเด็กให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีศักยภาพ
มีสุขภาพดี
สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การเรียนรู้เต็มศักยภาพ ทั้งเด็กและผู้ดูแล ควรมีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี เพราะสุขภาพของผู้ดูแลย่อมส่งผลถึงความสามารถในการดูแลเด็กอย่างเต็มที่ด้วย
-
มีการส่งเสริมสุขภาพ ทั้งกายและใจกัน
-
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยการได้รับวัคซีน อย่างครบถ้วน
-
การติดตามการเจริญเติบโต
-
การเข้าถึงบริการสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคและดูแลรักษา
-
ดูแลความสะอาดและป้องกันโรคต่าง ๆ
-
การดูแลเด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการหรือมีความพิการ
มีโภชนาการที่เพียงพอ
โภชนาการของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์และเด็ก เพราะภาวะโภชนาการของแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์นั้นส่งผลต่อสุขภาพและการพัฒนาของเด็กได้
-
การดูแลโภชนาการของแม่ตั้งครรภ์
-
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
-
อาหารตามวัยที่มีคุณภาพ
-
การเสริมสารอาหารสำหรับแม่และเด็ก (ตามความจำเป็น)
-
การออกกำลังกายและนอนหลับอย่างเพียงพอ
-
การดูแลรักษาภาวะทุพโภชนาการ
-
การป้องกันโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน
การปกป้องคุ้มครองและความปลอดภัย
สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและครอบครัว ปราศจากอันตรายต่อร่างกาย ความเครียด ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
-
การจดทะเบียนเกิด
-
การเข้าถึงอาหารและน้ำสะอาด
-
อากาศที่สะอาด
-
สุขอนามัยและสภาพแวดล้อมที่ดี
-
ปกป้องเด็กจากความรุนแรง การล่วงละเมิด การถูกทอดทิ้ง
-
พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเล่น
-
ความช่วยเหลือทางสังคมสำหรับครอบครัวที่เปราะบาง
โอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ ทั้งที่บ้านและสถานพัฒนาเด็ก
โอกาสที่เด็กจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งทางบวกและทางลบ ส่งผลต่อการพัฒนาของสมองของเด็ก โดยเป็นรากฐานสำหรับการเรียนรู้ในขั้นถัดไป
-
มีกิจกรรมที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหว และได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้ยินและได้ใช้ภาษา และได้สำรวจสิ่งรอบตัว
-
เด็กและผู้ดูแลได้เล่น พูดคุย ยิ้มให้ ทำท่าทางต่าง ๆ เล่นเกมง่าย ๆ และทำกิจวัตรประจำวัน
-
อ่านนิทาน ดูภาพในหนังสือ
-
เล่นกับสิ่งของในบ้านที่เหมาะสมกับวัย
-
สถานพัฒนาเด็ก/สถานเลี้ยงดูเด็ก มีมาตรฐาน
การดูแลตอบสนองอย่างใส่ใจ ต่อความต้องการและความรู้สึกของเด็ก
การเลี้ยงดู “การดูแลแบบตอบสนอง” หรือ Responsive caregiving สำคัญที่สุดในช่วง 0-2 ขวบ ความสามารถของพ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กในการสังเกต เข้าใจ และตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ ของเด็กที่ส่งมาให้ได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม เป็นพื้นฐานที่จะช่วยส่งเสริมอีก 4 ด้าน ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
-
ส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีวิธีการเลี้ยงดูที่ตอบสนองต่อเด็กอย่างใส่ใจ ไม่ละเลยการตอบสนองในสิ่งที่เด็กส่งมา เช่น สบตา ยิ้ม กอด ชม หรือเมื่อเด็กชี้ และถามจากความสงสัย ควรจะให้ข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อเกิดการเรียนรู้ จดจำที่ดี
-
ช่วยให้ผู้ดูแลสังเกตสัญญาณต่างๆ และตอบสนองอย่างเหมาะสม เช่น สํญญาณของความหิว ความเจ็บป่วย ความรู้สึกกลัว ความชอบ ความสนใจที่จะเล่น
-
สนับสนุนผู้ดูแลให้สื่อสารกับเด็ก และมีปฏิสัมพันธ์ในทางบวก ในช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน เช่น การเล่นด้วยกันกับเด็กแทนการปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียวตลอด คุณอาจจะไม่จำเป็นจะต้องมีเวลาและเล่นกับเขาทุกครั้ง เพียงแต่ทุกครั้งที่มีเวลากับเขาให้ใช้เวลานั้นอย่างใส่ใจและคุ้มค่ามากที่สุด