
ประกันกลุ่ม vs ประกันสุขภาพ ความแตกต่างที่ต้องเข้าใจ
การดูแลสุขภาพถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเจ็บป่วยขึ้นมา ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอาจสูงเกินกว่าที่คาดคิด ยิ่งในปัจจุบันค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นการมีประกันสุขภาพจึงเป็นการเตรียมตัวที่ดีในการปกป้องความเสี่ยงทางการเงินจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่า “ถ้ามีประกันกลุ่มจากที่ทำงานอยู่แล้ว การทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลยังจำเป็นไหม ?” เพื่อช่วยคลายข้อสงสัยนี้ เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประกันสุขภาพทั้งสองประเภทว่าเป็นอย่างไร
ประกันสุขภาพส่วนบุคคล vs ประกันกลุ่มแตกต่างกันอย่างไร ?
ประกันสุขภาพมีหลายรูปแบบ โดยแบ่งเป็นประกันสุขภาพส่วนบุคคลและประกันสุขภาพแบบกลุ่ม ซึ่งทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ดังนี้
ประกันสุขภาพส่วนบุคคล
ประกันสุขภาพส่วนบุคคลจะให้ความคุ้มครองที่ปรับตามความเสี่ยงและความต้องการเฉพาะบุคคล ดังนั้นผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกแผนให้ตรงกับความต้องการได้ เช่น การเลือกวงเงินคุ้มครองหรือความคุ้มครองโรคเฉพาะ หรือคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลชั้นนำได้
ข้อดีของประกันสุขภาพส่วนบุคคล
-
ความยืดหยุ่น : สามารถเลือกแผนประกันที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและสุขภาพส่วนบุคคลได้อย่างเหมาะสม เช่น เลือกความคุ้มครองเฉพาะโรคหรือระดับค่ารักษาพยาบาลที่ต้องการ
-
วงเงินคุ้มครองเพิ่มเติม : มีตัวเลือกในการเพิ่มวงเงินคุ้มครองสำหรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น วงเงินที่สูงขึ้นสำหรับโรคร้ายแรงหรือการรักษาเฉพาะทาง
-
ความคุ้มครองที่ต่อเนื่อง : ไม่ว่าจะเปลี่ยนงานหรือลาออกจากองค์กร ความคุ้มครองจะยังคงอยู่ โดยไม่ต้องพึ่งพาสวัสดิการจากบริษัท
ประกันกลุ่ม
ประกันสุขภาพแบบกลุ่ม คือประกันที่จัดทำขึ้นสำหรับพนักงานในองค์กร ส่วนใหญ่มักเป็นสวัสดิการที่บริษัทมอบให้ เพื่อครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ทั้งจากการทำงานและกรณีอื่น ๆ โดยบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเบี้ยประกันทั้งหมด
ข้อดีของประกันสุขภาพแบบกลุ่ม
-
ลดภาระค่าใช้จ่าย : ประกันสุขภาพแบบกลุ่ม ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ ทำให้ลูกจ้างไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น และลดความเสี่ยงทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ส่งเสริมการรักษาอย่างทันท่วงที : ช่วยให้พนักงานสามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น ก่อนที่อาการจะรุนแรง ทั้งยังลดความเสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยรุนแรง รวมถึงช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต
-
สร้างความมั่นใจให้ครอบครัว : ในกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิตหรือประสบอุบัติเหตุจนทุพพลภาพ ประกันประเภทนี้ยังจะมอบเงินชดเชยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว ทำให้มั่นใจในคุณภาพชีวิตที่ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพแบบกลุ่มจะไม่สามารถปรับแผนให้ตรงกับความต้องการเฉพาะตัว หรือคุ้มครองอย่างละเอียดเหมือนประกันสุขภาพส่วนบุคคล และจะไม่คุ้มครองในกรณีที่ลาออกจากงานหรือเปลี่ยนที่ทำงาน
เปรียบเทียบประกันสุขภาพทั้งสองประเภท
คุณสมบัติ |
ประกันสุขภาพส่วนบุคคล |
ประกันสุขภาพแบบกลุ่ม |
ความยืดหยุ่น |
เลือกแผนได้ตามต้องการ |
ไม่มีความยืดหยุ่น |
วงเงินคุ้มครอง |
เลือกเพิ่มวงเงินได้ |
วงเงินคงที่ตามบริษัทกำหนด |
คุ้มครองโรคเฉพาะ |
เลือกคุ้มครองโรคเฉพาะได้ |
ไม่มีคุ้มครองโรคเฉพาะ |
ค่าใช้จ่าย |
ผู้เอาประกันจ่ายเบี้ยประกันเอง |
บริษัทจ่ายส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด |
การคุ้มครองหลังลาออก |
คุ้มครองต่อเนื่องหลังลาออก |
สิ้นสุดเมื่อลาออกจากการเป็นพนักงาน |
สรุป : ประกันสุขภาพส่วนบุคคล มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแผนได้ตามความต้องการส่วนบุคคล ในขณะที่ประกันสุขภาพแบบกลุ่มมีข้อจำกัดในเรื่องความคุ้มครองและการเลือกแผน
เหตุผลที่มีประกันกลุ่มแล้ว ยังต้องทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม
แม้ว่าหลายคนจะมีประกันสุขภาพแบบกลุ่มจากที่ทำงานแล้ว แต่ก็มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลเพิ่มเติมยังคงจำเป็น
1. ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล
ประกันสุขภาพส่วนบุคคลสามารถปรับแผนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและสภาพร่างกายของตัวผู้เอาประกันภัย เช่น หากมีโรคประจำตัวหรือมีแนวโน้มในการเจ็บป่วยบางอย่าง ประกันสุขภาพสามารถให้ความคุ้มครองเฉพาะในส่วนนี้ได้ ในขณะที่ประกันกลุ่มจะให้ความคุ้มครองแบบทั่วไปที่อาจไม่เพียงพอสำหรับบางคน
2. สามารถซื้อวงเงินคุ้มครองเพิ่มเติมได้ตามต้องการ
ประกันสุขภาพส่วนบุคคลสามารถซื้อวงเงินคุ้มครองเพิ่มเติมได้ตามที่ต้องการ หากคิดว่าไม่พอใจหรือไม่ครอบคลุมพอ ก็สามารถเพิ่มวงเงินหรือเลือกแผนที่มีความคุ้มครองสูงขึ้นได้ ซึ่งแตกต่างจากประกันสุขภาพแบบกลุ่มที่ไม่มีตัวเลือกให้ปรับวงเงินตามความต้องการ
3. ปิดความเสี่ยงทางด้านการเงิน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
การมีประกันสุขภาพช่วยให้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การรักษาโรคมะเร็งหรือโรคเรื้อรัง
4. คุ้มครองต่อเนื่อง แม้ลาออกจากที่ทำงาน
หากลาออกจากที่ทำงานหรือเปลี่ยนงาน ประกันสุขภาพแบบกลุ่มจะไม่สามารถคุ้มครองได้ต่อเนื่อง แต่ประกันสุขภาพส่วนบุคคลสามารถคุ้มครองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเปลี่ยนงานหรือลาออกจากที่ทำงานก็ตาม
แผนประกันสุขภาพจากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต
พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต มีแผนประกันสุขภาพที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับทุกความต้องการ เพื่อให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตัวเองในทุกช่วงเวลา
พรูเบทเทอร์ แคร์ - ไอพีดี โพรเทกต์
ญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในตามจริงตั้งแต่อายุ 6-75 ปี (ต่ออายุและคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี) หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกปี เลือกจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยได้ถูกลง และซื้อความคุ้มครองผู้ป่วยนอกเพิ่มได้
พรูเฮลท์ ริช โพรเทคชั่น
หมดห่วงกับค่ารักษาพยาบาล ด้วยแผนความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกระดับการรักษาถึงอายุ 99 ปี ทั้งกรณีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน หรือเข้ารับการรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกก็จ่ายให้ แถมยังมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยบริการความเห็นที่ 2 ทางการแพทย์
พรูอีซี่ พีเอ
“พรูอีซี่ พีเอ” ประกันอุบัติเหตุสำหรับทุกคนในครอบครัว ตัวช่วยเพิ่มความอุ่นใจแบบง่าย ๆ ให้ความคุ้มครองทั้งชีวิต และค่ารักษาพยาบาล พร้อมแผนความคุ้มครองหลากหลาย เพื่อดูแลคุณและคนที่รัก ในราคาเบี้ยฯ สบายกระเป๋าเริ่มต้นที่ 1,000 บาทต่อปี
ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพส่วนบุคคลหรือประกันสุขภาพแบบกลุ่ม ทั้งสองประเภทมีข้อดีและเหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกัน หากคุณต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นตามความต้องการส่วนตัว ประกันสุขภาพส่วนบุคคลเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม แต่หากคุณต้องการประกันที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองมาก ประกันกลุ่มจากที่ทำงานก็สามารถตอบโจทย์ได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเลือกประกันสุขภาพแบบใด ก็สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้ หากต้องการคำแนะนำหรือสนใจซื้อประกันสุขภาพ ติดต่อพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ได้เลย!