Global Boiling
เมื่อโลกเดือด โรคก็เดือดไปด้วย
อากาศเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว นำพาโรคร้ายมาสู่เด็กๆ
เมื่อโลกอัพเลเวลจาก “โลกร้อน” ไปสู่ “โลกเดือด” เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกของเรานั้นร้อนเข้าขั้นวิกฤติแล้ว จากการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ขององค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่าตั้งแต่ปี 2558-2565 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งสภาพอากาศที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้ว ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ ซึ่งกลุ่มเปราะบางที่จะได้รับ
ผลกระทบและน่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเด็กนั่นเอง
อุณหภูมิสูง โลกเดือด กระทบต่อสุขภาพเด็ก
เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นต่อเนื่อง อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กๆ นั่นก็คือ คลื่นความร้อน ซึ่งเกิดจากการสะสมความร้อนในพื้นที่นั้นๆ อากาศที่แห้งแล้ง ไอร้อนที่ระอุ ไม่มีลมที่ช่วยระบายความร้อน และจากรายงานของทางยูนิเซฟยังระบุว่าภายในปี 2593 เด็กทั่วโลกจำนวนกว่า 2 พันล้านคน จะเผชิญกับการเกิดคลื่นความร้อนบ่อยครั้งขึ้น และในประเทศไทยก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกัน มีรายงานว่า ปี 2563 เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี กว่าร้อยละ 75 หรือราวกว่า 10 ล้านคนต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนบ่อยครั้ง หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในปี 2593 เด็กแทบทุกคนในประเทศไทยจะต้องเจอกับคลื่นความร้อนถี่และยาวนานขึ้น ทั้งยังจัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศ ที่เด็กมีความเสี่ยงสูงสุดต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ที่เจอผลกระทบเรื่องน้ำท่วม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเจอกับปัญหาภัยแล้ง ภาคเหนือกับเรื่องไฟป่า หมอกควัน แม้แต่เด็ก ๆ ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็หนีไม่พ้นเรื่องฝุ่นควัน มลภาวะต่าง ๆ
คลื่นความร้อนคือภัยร้าย จ้องทำลายสุขภาพลูก
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้วนี้ ไม่เพียงส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า อากาศร้อนจัด และฝุ่นควัน ยังนำโรคร้ายซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจ มาสู่เด็ก ๆ จากรายงานของ Prudential ยังชี้ให้เห็นว่ามลภาวะความร้อน ความชื้น และอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การทำงานของหัวใจ หลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และเป็นสาเหตุของหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไข้หวัดแดด โรคไข้เลือดออก เนื่องจากขนาดร่างกายเด็กมีระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทที่อ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ ยิ่งเจอคลื่นความร้อนมากเท่าใด ยิ่งกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว มากไปกว่านั้นอากาศที่ร้อนจัดมีส่วนทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด มลพิษต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ และที่น่ากังวลทารกและเด็กเล็กคือกลุ่มความเสี่ยงสูงสุดต่อการเสียชีวิตจากการเกิดคลื่นความร้อนอีกด้วย
อากาศที่ร้อนมากยังทำให้เกิดความเครียดสูงและนอนหลับไม่สนิท ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็ก นอกจากนี้ คลื่นความร้อนยังส่งผลต่อเด็กในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น อุณหภูมิที่สูงมากกระทบต่อสมาธิในการเรียนของเด็ก และอาจทำให้เด็กหยุดเรียน
สภาพอากาศสุดขั้ว วิกฤติใหญ่ที่อีก 30 ปีข้างหน้าเด็ก ๆ ต้องเจอ
ในสภาวะที่โลกเดือดทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตสิ่งที่เด็กๆ ต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ
โรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรงขึ้น:
เด็กสูดดมอากาศที่มีปรอทกระจายตัวไปทั่ว โรคระบาดที่เกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนสุดขั้ว ส่งผลให้เด็กเจ็บป่วยบ่อยขึ้น ขาดเรียน การเจริญเติบโตและพัฒนาการถดถอยไม่สมวัย การเรียนรู้ล่าช้า ขาดโอกาสทางการศึกษา
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ:
เด็ก ๆ ต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ อากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ดินและน้ำที่ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ และยังต้องเจอกับภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า พายุที่มีความรุนแรงและสร้างความเสียหายมากขึ้น
สังคมและเศรษฐกิจที่ย่ำแย่:
เมื่อสภาพภูมิอากาศเป็นตัวแปรส่งผลให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล กระทบต่อเพาะปลูกเกษตรกรรม การประมงและปศุสัตว์ ระยะยาวอาจเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ น้ำดื่มมีราคาสูงขึ้น เด็กที่ยากจนจะประสบปัญหาขาดสารอาหาร เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย
วิธีรับมือกับอากาศร้อนจัด
คลื่นความร้อนนั้นก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของเด็ก หากเมื่อลูกต้องสัมผัสหรืออยู่กับอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ร่างกายไม่สามารถปรับตัวลดอุณหภูมิให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ก็จะทำให้ลูกนั้นเกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกอยู่ในที่ร้อนจัด งดกิจกรรมกลางแจ้ง ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
ข้อมูลอ้างอิง