
รู้ทันไข้เลือดออก ! เกิดจากอะไร มีวิธีป้องกันอย่างไร ?
เมื่อมีไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง หลายคนมักคิดว่าเป็นเพียงอาการของไข้หวัดทั่วไป แต่รู้หรือไม่? ว่าอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคไข้เลือดออก ที่หากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายได้
“ไข้เลือดออก” เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ โดยในปี 2566 มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในไทยมากถึง 156,097 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 175 ราย ซึ่งสูงกว่าปี 2565 หลายเท่า และถึงแม้ตัวเลขผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสมในไทยตลอดปี 2567 จะมีจำนวนลดน้อยลงเป็น 104,397 ราย แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง การป้องกันโรคไข้เลือดออกจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ บทความนี้จะมาบอกถึงอันตรายของโรคไข้เลือดออก พร้อมแนะนำวิธีสังเกตอาการและป้องกันเพื่อให้ห่างไกลจากโรคนี้กัน !
เข้าใจต้นตอของโรคที่มาพร้อมยุงลาย ! โรคไข้เลือดออกคืออะไร ?
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้บ่อยในประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีน้ำท่วมขังในภาชนะต่าง ๆ ซึ่งเอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุงลาย และเมื่อยุงลายที่มีเชื้อกัดคน เชื้อไวรัสก็จะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ไวรัสเดงกี มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี 1, เดงกี 2, เดงกี 3 และ เดงกี 4 ซึ่งมนุษย์สามารถติดไวรัสเดงกีได้ทุกสายพันธุ์ โดยหลังจากที่ยุงลายดูดเลือดจากผู้ป่วยในระยะไข้ เชื้อจะฟักตัวอยู่ประมาณ 8 - 12 วัน ก่อนแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นผ่านการกัด ทำให้การระบาดของไข้เลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
กลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่สำหรับกลุ่มคนต่อไปนี้ มักมีอาการรุนแรง จึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
-
เด็กทารก
-
ผู้สูงอายุ
-
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
-
ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
-
ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยหัวใจพิการแต่กำเนิด
-
ผู้ที่มีความผิดปกติของเลือด อย่างโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย
-
ผู้ที่กำลังรับประทานยาสเตียรอยด์ หรือยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
เช็กสัญญาณเสี่ยง อันตรายและอาการของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกเป็นหนึ่งในโรคที่มีความเสี่ยงเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อีกทั้งยังสามารถระบาดได้ทุกที่ของประเทศ การรักษาจะเป็นไปตามอาการ ไม่มียาที่ใช้ในการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง โดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อในครั้งแรกมักจะไม่มีอาการรุนแรง แต่หากเป็นการติดเชื้อครั้งที่ 2 มักเสี่ยงต่ออาการรุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้
อาการไข้เลือดออกแต่ละระยะ |
||
อาการไข้เลือดออกในระยะแรก |
อาการระยะวิกฤต |
อาการระยะฟื้นตัว |
|
|
|
สังเกตให้ดี ! ตุ่มไข้เลือดออก มีวิธีดูอย่างไร ?
ป่วยโรคไข้เลือดออกมักมีผื่น หรือจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองระยะดังนี้
-
ตุ่มระยะแรก ผิวหนังแดงทั่วตัว โดยเฉพาะหน้า คอ หน้าอก ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนัง
-
ตุ่มระยะหลัง (ช่วงไข้ลดลง) ผื่นลักษณะเป็นปื้นแดง จุดเลือดออกเล็ก ๆ หรือบางรายอาจมีตุ่มนูน ซึ่งบ่งชี้ว่าเกล็ดเลือดในร่างกายลดลง
การตรวจโรคไข้เลือดออก
หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคไข้เลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์อาจทำการตรวจด้วยวิธีเหล่านี้
-
การตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจสอบอาการทั่วไป เช่น ไข้สูง ผื่น และอาการเลือดออก
-
การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับเกล็ดเลือดและฮีมาโตคริต ซึ่งมักลดลงในผู้ป่วยไข้เลือดออก
-
การทดสอบอื่น ๆ เช่น การตรวจหาแอนติเจน NS1 หรือแอนติบอดีต่อไวรัสเดงกี เพื่อยืนยันการติดเชื้อ
ข้อควรระวังในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก
-
ห้ามใช้ยาลดไข้แอสไพริน เพราะจะทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร ให้ใช้ยาพาราเซตามอล หรือตามที่แพทย์จ่ายเท่านั้น
-
อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันนาน เพราะอาจจะทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ แนะนำให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ
-
ไม่ควรกินอาหารที่มีสีดำหรือแดง เพื่อจะได้สังเกตว่ามีเลือดออกในอวัยวะภายในหรือไม่ ผ่านสีของอุจจาระ
-
ไม่ปล่อยผู้ป่วยเอาไว้ลำพัง เพราะหากมีอาการรุนแรง และไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
-
ดูแลด้วยความนุ่มนวล เพราะอาจจะทำให้เกิดจุดเลือดได้ง่าย
พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เลือดออก
อย่าปล่อยให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพ ! แม้ไข้เลือดออกจะเป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ แต่บ่อยครั้งที่พฤติกรรมของเรามีส่วนทำให้เชื้อเกิดการแพร่กระจายในวงกว้าง โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดโรคไข้เลือดออก มีดังต่อไปนี้
-
ปล่อยให้น้ำขังบริเวณบ้าน เป็นแหล่งวางไข่และเพาะพันธุ์ยุงลาย ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้มากขึ้น
-
ไม่สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย หรือออกไปทำกิจกรรมในพื้นที่เสี่ยง โดยไม่ฉีดสเปรย์ หรือทายาเพื่อป้องกันยุงกัด
-
อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก ซึ่งอาจจะทำให้เชื้อแพร่กระจายได้มากยิ่งขึ้น
-
ไม่กำจัดขยะและวัสดุที่สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
-
ไม่ใช้มุ้งลวด หรือมุ้ง ขณะพักผ่อนในช่วงเวลาที่ยุงลายออกหากิน
หากในพื้นที่มีการระบาดของไข้เลือดออก อย่ารอช้า รีบกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ฉีดพ่นสารเคมี หรือใช้มาตรการป้องกันยุงกัด เพื่อลดความเสี่ยงและหยุดการแพร่กระจายของโรค
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกด้วยวิธี 5ป. + 1ข.
ร่วมป้องกันโรคไข้เลือดออกไม่ให้ระบาด ด้วยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นต้นตอของพาหะนำโรคไม่ให้แพร่กระจาย โดยมีวิธีตามหลัก 5ป. + 1ข. ดังนี้
ป.1 - ปิด
ปิดภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายสามารถวางไข่ได้ ไม่ว่าจะเป็นถังเก็บน้ำ โอ่ง หรือภาชนะอื่น
ป.2 - เปลี่ยน
เปลี่ยนน้ำในแจกัน กระถางต้นไม้ หรือส่วนอื่นของบ้าน อย่างน้อย 7 วันครั้ง เพื่อลดโอกาสของลูกน้ำที่จะเกิดเป็นยุงลาย
ป.3 - ปล่อย
ปล่อยปลาลงไปในอ่างน้ำ กระถางไม้น้ำ บ่อน้ำ หรือแหล่งน้ำอื่น เพื่อให้ปลาช่วยกินลูกน้ำที่จะโตขึ้นมาเป็นยุงลาย
ป.4 - ปรับ
ปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้โล่ง ไม่มีมุมอับที่จะทำให้ยุงลายมาเกาะ หรืออยู่อาศัย และแพร่กระจายเชื้อโรคได้
ป.5 - ปฏิบัติ
ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและคนในครอบครัว
ข. - ขัด
ขัดภาชนะใส่น้ำ เพื่อกำจัดไข่ยุงลายที่อาจจะเกาะอยู่บนภาชนะ หรือตะไคร่น้ำ
วิธีรักษาไข้เลือดออกให้หายเร็ว สู่การฟื้นฟูร่างกายอย่างปลอดภัย
แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีรักษาไข้เลือดออกโดยตรง การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีแนวทางในการสังเกตโรคไข้เลือดออกด้วยการดูแลอาการและรักษาที่บ้าน ดังนี้
-
พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
-
ดื่มน้ำให้มาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
-
หลีกเลี่ยงยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน เนื่องจากอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
-
รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
-
ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงไข้ลดลง ซึ่งเป็นระยะที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
ฉีดวัคซีนโรคไข้เลือดออก ป้องกันได้ก่อนเกิดโรค
การฉีดวัคซีนโรคไข้เลือดออก เป็นการป้องกันโรคไข้เลือดออก และอาการของโรคที่รุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี ถึง 60 ปี สามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยเป็นและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 3 เดือน
แผนประกันสุขภาพจากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ทางเลือกคุ้มครองเมื่อเป็นโรคไข้เลือดออก
นอกจากการทำตามหลักป้องกันไข้เลือดออก และการฉีดวัคซีนแล้ว การเลือกซื้อประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิตเอาไว้ ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้คุณได้เมื่อเกิดติดโรคไข้เลือดออกขึ้นมา โดยไม่ต้องสำรองจ่าย* ช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน
*ประกันสุขภาพ ไม่ต้องสำรองจ่าย ตามเงื่อนไขที่กำหนดกับโรงพยาบาลคู่สัญญา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
หากไข้เลือดออกยังไม่แสดงอาการ ให้น้ำเกลือก่อนจะหายไหม ?
การให้น้ำเกลือเป็นเพียงแนวทางช่วยบรรเทาอาการขาดน้ำ แต่ไม่สามารถรักษาไข้เลือดออกให้หายขาดได้ หากมีอาการน่าสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและติดตามระดับเกล็ดเลือดอย่างใกล้ชิด สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา การเลือกซื้อประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในกรณีที่เป็นโรคไข้เลือดออกขึ้นมา โดยไม่ต้องสำรองจ่าย*
ถ้าเคยเป็นไข้เลือดออกแล้วจะเป็นซ้ำอีกไหม ?
โรคไข้เลือดออกสามารถเกิดซ้ำได้ เนื่องจากไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์หนึ่งแล้ว ก็ยังสามารถติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้อีก การเป็นไข้เลือดออกครั้งที่สองอาจมีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรก จึงควรป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงยุงลาย ทั้งการไม่ไปอยู่ในสถานที่ที่มียุงชุกชุม และหมั่นกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง รวมถึงเลือกซื้อประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิตเอาไว้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายหากเป็นโรคไข้เลือดออกขึ้นมาจริง ๆ
ผื่นตุ่มไข้เลือดออกกี่วันถึงจะหายคันและหายไป ?
ผื่น หรือตุ่มไข้เลือดออก มักปรากฏขึ้นในระยะฟื้นตัวของโรค ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ถึงจะจางหาย อีกทั้งอาการคันอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงที่ผื่นเริ่มหายไป ซึ่งโดยทั่วไป อาการคันจะลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเกาเพื่อลดโอกาสเกิดรอยดำ หรือการติดเชื้อเพิ่มเติม หากมีอาการคันมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาบรรเทาอาการ ซึ่งประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต จะช่วยลดความกังวลใจ เมื่อเกิดอาการแทรกซ้อน หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
รู้ได้อย่างไรว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ?
อาการของไข้เลือดออกจะดีขึ้นเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยสามารถสังเกตอาการที่ดีขึ้นได้ดังนี้
-
ไข้ลดลง และไม่มีไข้สูงอีก
-
อาการคลื่นไส้ อาเจียนลดลง
-
ความอยากอาหารกลับมา
-
ระดับเกล็ดเลือดเริ่มเพิ่มขึ้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
-
ผู้ป่วยรู้สึกมีแรงมากขึ้น ไม่อ่อนเพลีย
แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว แต่ยังควรติดตามสุขภาพต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังฟื้นตัว เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมเพิ่มความอุ่นใจ ด้วยการทำประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต เพื่อช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทำให้สามารถดูแลตัวเองได้อย่างสบายใจจนหายดี
*ประกันสุขภาพ ไม่ต้องสำรองจ่าย ตามเงื่อนไขที่กำหนดกับโรงพยาบาลคู่สัญญา
ข้อมูลอ้างอิง