
โรคไตไม่ใช่แค่กินเค็ม รู้สาเหตุและวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป
ด้วยพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในปัจจุบัน ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้ง่าย ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ต้องตระหนักและป้องกัน และเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับปัญหาโรคไตมากขึ้น เราจะพาไปดูกันว่า โรคไตมีอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันอย่างไร รวมถึงมีสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงของโรค ที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตนเองอย่างไรบ้าง
โรคไต ภัยเงียบ ที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
รู้หรือไม่ว่าคนไทย 17.6% หรือราว ๆ 8 ล้านคนป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง และในจำนวนนี้ป่วยเป็นไตวายระยะสุดท้ายถึง 80,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งสาเหตุของโรคไต เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะการกินอาหารที่มีรสเค็มจัดเท่านั้น เพราะสามารถเกิดได้ทั้ง สาเหตุจากพันธุกรรม โรคประจำตัว ไปจนถึงการใช้ชีวิต
โรคไต เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ?
-
โรคเรื้อรัง อย่างเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เก๊าต์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเสื่อม
-
อายุ โดยทั่วไป ผู้ที่มีอาการของโรคไตเสื่อมจะอยู่ในช่วงอายุ 35 - 40 ปีขึ้นไป
-
พันธุกรรม หากมีคนในบ้านป่วยเป็นโรคไตเสื่อม ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
-
เคยเป็นโรคไตอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับไต หรือมีภาวะผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มีไตเพียงข้างเดียว
-
การใช้ยาผิดประเภท ใช้ยาเกินขนาด หรือกินวิตามินเสริมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ จนสะสมในร่างกาย
-
กินอาหารรสจัด ทั้งเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด
-
กินอาหารที่มีโซเดียมสูง ทั้งเครื่องปรุง อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ต่าง ๆ
-
ดื่มน้ำน้อยเกินไป จนทำให้เกิดสารเคมีสะสม ไตขาดน้ำ จนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
จากสาเหตุข้างต้น จึงสามารถบอกได้ว่า “โรคไตเสื่อม” ไม่ได้เกิดจากการกินเค็มเพียงอย่างเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มีสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะโรคประจำตัวต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ไตเสื่อม รวมถึงพฤติกรรมการกินที่ชอบกินอาหารรสจัดและใส่เครื่องปรุงเยอะ ๆ ด้วย
เช็ก 6 สัญญาณเตือนโรคไตเสื่อม
ใครที่กำลังสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคไตเสื่อมหรือไม่ แนะนำให้เช็กสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ดังต่อไปนี้
-
มีอาการบวมตามผิวหนัง ใบหน้า เท้า หน้าแข้ง
-
เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่ค่อยมีแรง
-
ปวดหลัง หรือปวดเอวบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด
-
ปัสสาวะมีลักษณะที่ผิดไปจากเดิม เช่น มีเลือดปน มีฟอง หรือปัสสาวะบ่อย
-
คันตามผิวหนัง
-
คลื่นไส้อาเจียนบ่อย ๆ
5 ระยะของโรคไตวายเรื้อรัง
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1
ค่า eGFR >90 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นระยะที่ไตยังทำงานและกรองของเสียได้ตามปกติ แต่อาจจะตรวจพบว่ามีโปรตีนรั่วออกมาเล็กน้อย แนะนำให้ปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต กินอาหารไม่ปรุงรส ออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง งดการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 2
ค่า eGFR 60 - 90 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้น ไตทำงานได้น้อยลงกว่าปกติ เหลือเพียง 60-90% เท่านั้น แนะนำให้ลดอาหารรสจัด อาหารแปรรูป รวมถึงซอสและน้ำจิ้มต่าง ๆ
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3
ค่า eGFR 30 - 59 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตเรื้อรังระยะปานกลาง ไตทำงานได้น้อยลง เหลือเพียง 30 - 60% เท่านั้น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว แนะนำให้กินโปรตีนอย่างสมดุล ไม่กินมากไป และไม่กินน้อยเกินไป
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4
ค่า eGFR 15 - 29 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตเรื้อรังระยะรุนแรง ไตทำงานเพียง 15 - 30% เท่านั้น ในระยะนี้ผู้ป่วยจะต้องลดการกินผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง อย่างเช่น ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ มะม่วง มะขามหวาน ฝรั่ง กล้วย ทุเรียน
โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5
ค่า eGFR < 15 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย ไตทำงานเหลือน้อยกว่า 15% ต้องรักษาโดยการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต
โรคไตชะลอและป้องกันได้ แค่ปรับพฤติกรรม
แม้ว่าโรคไตจะเกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัย แต่หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ก็คือ พฤติกรรมกินและการใช้ชีวิต ซึ่งหากว่าเราปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็จะช่วยชะลอและป้องกันโรคไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรวจคัดกรองโรคไตปีละ 1 ครั้ง
แม้ว่าโรคไตจะเกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัย แต่หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ก็คือ พฤติกรรมกินและการใช้ชีวิต ซึ่งหากว่าเราปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็จะช่วยชะลอและป้องกันโรคไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรวจคัดกรองโรคไตปีละ 1 ครั้ง
เพื่อตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไตว่ายังทำงานปกติหรือไม่ หากตรวจพบเจอว่าไตผิดปกติในระยะแรก ๆ การดูแลรักษาก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้น ช่วยชะลอไม่ให้ไตเสื่อมไวจนต้องฟอกไตอีกด้วย
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อย่างผักและผลไม้ ลดการกินโปรตีนจากเนื้อแดง รวมถึงอาหารที่มีไขมันสูง ที่สำคัญลดปริมาณโซเดียม ไม่ว่าจากอาหารรสจัด อาหารแปรรูป หรือจากเครื่องปรุงต่าง ๆ
ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ
ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไต แนะนำให้ดื่มวันละ 6 - 8 แก้ว หากปัสสาวะมีสีเข้ม แสดงว่าเราดื่มน้ำน้อยเกินไป
ออกกำลังกายเป็นประจำ
อย่างน้อย 2 - 3 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที เพื่อช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
โรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินกว่าปกติ เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายอย่าง ทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคไตเสื่อมเรื้อรังเช่นเดียวกัน
พฤติกรรมเสี่ยงโรคไตที่ควรหลีกเลี่ยง
นอกจากการปฏิบัติตัวในข้างต้นแล้ว เรามีข้อแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมต้องห้ามที่เสี่ยงต่อโรคไตวายเรื้อรังดังนี้
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด
อาหารรสจัดมักเป็นอาหารที่มีโซเดียมสูง ส่งผลทำให้ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคไตวายเรื้อรังในที่สุด
ไม่สูบบุหรี่
ยิ่งสูบบุหรี่ ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคไตวายเรื้อรังสูง โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะเสี่ยงมากกว่าคนไม่สูบถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ อีกด้วย
หลีกเลี่ยงการรับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกัน
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ไตทำงานหนักโดยที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง เพราะอาจทำให้ไตเสื่อมไวได้
ดูแลร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคไต และหากต้องการหลักประกันเรื่องสุขภาพ เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับโรคภัยได้อย่างไร้กังวล ซื้อประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง พรูเบาหวาน เบาใจ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ที่ไม่เพียงคุ้มครองโรคเบาหวาน แต่ยังให้ผลประโยชน์ความคุ้มกรองกรณีตรวจพบโรคร้ายแรง อย่างไตวายเรื้อรัง การผ่าตัดเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะหรือปลูกถ่ายไขกระดูก ตาบอด และมะเร็งระยะลุกลาม ไม่ต้องตรวจสุขภาพ สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ เพื่อให้ตัวแทนของเราติดต่อกลับไปได้เลย
ข้อมูลอ้างอิง