เลือกภาษา
close
อาการโรคเกาต์ที่ทำให้ปวดข้อเข่า
เคล็ด (ไม่) ลับ น่ารู้ - พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต

รวบคำตอบ! โรคเกาต์เกิดจากอะไร มีอะไรที่ห้ามกินบ้าง?

เคยไหมที่ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกปวดข้ออย่างรุนแรง ทั้งยังมีอาการบวมแดง แสบร้อนจนแทบทนไม่ไหวตามบริเวณข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ และข้อศอก รู้หรือไม่? ว่าอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ
“โรคเกาต์” ก็เป็นได้

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

แต่โรคเกาต์เกิดจากอะไร? ทำไมถึงเป็นโรคนี้กัน หากเข้าสู่กระบวนการรักษามีอะไรที่ห้ามกินบ้าง? และที่เขาว่ากันว่าเป็นโรคเกาต์ห้ามกินไก่จริงไหม บทความนี้มีข้อควรรู้มาตอบไว้ให้ครบ

 

โรคเกาต์คืออะไร เกิดจากอะไร?

โรคเกาต์เกิดจาก ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งกรดยูริกเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นจากสารพิวรีน ที่พบในอาหารบางชนิด เมื่อร่างกายกำจัดกรดยูริกได้ไม่หมด กรดยูริกจะตกตะกอนกลายเป็นผลึกสะสมตามข้อ จนเกิดเป็นอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะที่ข้อหัวแม่เท้า ซึ่งอาการโรคเกาต์มักจะกำเริบเป็น ๆ หาย ๆ และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลให้ข้อต่อเสียหายอย่างถาวรได้

 

ระยะอาการโรคเกาต์ที่ควรรู้

โรคเกาต์มีระยะอาการที่สำคัญ 3 ระยะด้วยกัน ซึ่งการรู้ข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้ จะช่วยให้เข้าใจอาการและดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม 

ระยะเฉียบพลัน

เป็นระยะที่มีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน มักจะเกิดที่บริเวณข้อส่วนล่างของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือที่ตำแหน่งข้อเท้า โดยอาการปวดจะรุนแรงมากในช่วงกลางคืน ข้อที่ปวดจะบวม แดง ร้อน จนอาจส่งผลต่อการนอนหลับ ซึ่งอาการปวดเฉียบพลันมักจะหายไปเองภายใน 5-7 วัน แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะกลับมาเป็นซ้ำบ่อยขึ้น

ระยะช่วงพัก

เป็นระยะที่มักเกิดขึ้นหลังอาการเฉียบพลัน ซึ่งในระหว่างนี้จะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ก็เป็นช่วงที่สำคัญในการรักษา เพราะเป็นโอกาสในการควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ดีอาจมีโอกาสเกิดข้ออักเสบซ้ำภายใน 1-2 ปี

ระยะเรื้อรัง

เป็นระยะที่โรคเกาต์มีความรุนแรงมากขึ้น มักเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยเป็นโรคเกาต์มานานหลายปี ทำให้ข้อต่อถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการผิดรูปของข้อ ข้อแข็ง จึงเคลื่อนไหวได้น้อยลง นอกจากนี้ อาจพบปุ่มก้อนโตตามข้อ ซึ่งเกิดจากการสะสมของผลึกยูริก โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อย คือปุ่มปลายนิ้ว เอ็นร้อยหวาย ปลายหู รวมถึงในหูชั้นกลาง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม โรคเกาต์เรื้อรังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ เช่น ไตวาย นิ่วในไต หรือโรคหัวใจ

 

เป็นโรคเกาต์ ห้ามกินอะไร?

เนื่องจากโรคเกาต์เป็นภาวะกรดยูริกในเลือดสูง โดยกรดยูริกที่ว่านี้เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการย่อยสลายสารพิวรีน ซึ่งเมื่อร่างกายมีกรดยูริกมากเกินไป จะทำให้เกิดผลึกสะสมตามข้อต่อ จนเกิดการอักเสบและปวด ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง โดยมีตัวอย่างอาหารที่ควรงดและลด ดังนี้

อาหารที่ควรงด

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดอาหารที่มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะส่งผลให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการงดอาหารเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกำเริบของโรคเกาต์ อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดได้ดีขึ้น ตัวอย่างอาหารที่ควรงด ได้แก่

  • เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไส้ หัวใจ

  • อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง หอย ปลาซาร์ดีน

  • อาหารหมักดอง เช่น ยีสต์ เบียร์ ไวน์

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แหนม ปลาเค็ม

อาหารที่ควรจำกัดปริมาณ

นอกจากอาหารที่ควรงด ยังมีอาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถกินได้ แต่ควรจำกัดปริมาณ คือ อาหารที่มีพิวรีนอยู่ในช่วง 50-150 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งไม่ควรกินบ่อยเกินไป เพื่อควบคุมปริมาณสารพิวรีนที่เข้าสู่ร่างกาย ตัวอย่างอาหารที่ควรลด ได้แก่

  • เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่

  • ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ถั่วลิสง

  • ปลาบางชนิด เช่น ปลากะพง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

 

โรคเกาต์เกิดจากอะไร มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไร

 

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นโรคเกาต์

โรคเกาต์เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ด้วยการดูแลตนเองที่ดี ซึ่งหนึ่งในวิธีที่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้

  • ดื่มน้ำให้มาก

การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้มากขึ้น โดยควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 2 ลิตร เพื่อช่วยลดความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือด ลดโอกาสการเกิดผลึกกรดยูริกที่ข้อต่อ ช่วยบรรเทาอาการปวด

  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการทำงานของไตในการขับกรดยูริก ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น กระตุ้นให้เกิดอาการปวดข้อ อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการของโรคเกาต์กำเริบได้บ่อยและรุนแรงขึ้น

  • งดอาหารที่มีกรดยูริกสูง

ดังที่กล่าวไปว่าอาหารที่มีกรดยูริกสูงจะไปเพิ่มปริมาณกรดยูริกในร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของผลึกกรดยูริกที่ข้อต่อ จึงควรควบคุมและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดยูริก

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์สูงกว่าคนปกติ เนื่องจากไขมันส่วนเกินจะไปเพิ่มการสร้างกรดยูริก จึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมปริมาณแคลอรีให้เหมาะสม

 

ตอบคำถามคาใจ กินไก่เป็นเกาต์ไหม?

เนื้อไก่ จัดเป็นเนื้อสัตว์ที่มี สารพิวรีน ปานกลาง ไม่จัดอยู่ในกลุ่มอาหารต้องห้าม สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ การกินไก่จึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเกาต์อย่างที่เข้าใจกัน เพราะโรคเกาต์เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อต่อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ได้เกิดจากการกินไก่เพียงอย่างเดียว แต่การกินไก่ในปริมาณมากและบ่อยครั้งอาจส่งผลต่อผู้ที่เป็นโรคเกาต์ได้ โดยควรระมัดระวังในการเลือกกินให้ดี เพราะการปรุงอาหารด้วยวิธีที่แตกต่างก็อาจส่งผลต่อปริมาณพิวรีนได้ เช่น ไก่ย่างจะมีค่าเฉลี่ยกรดยูริกอยู่ที่ 115 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งเป็นอาหารพิวรีนปริมาณกลาง แต่ไก่ต้ม หรืออกไก่ติดหนัง มีค่าเฉลี่ยกรดยูริกที่มากกว่า 150 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งจัดเป็นอาหารพิวรีนสูง ดังนั้น จึงควรเลือกกินในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกวิธีการปรุงอาหารที่เหมาะสม 

โรคเกาต์สามารถรักษาให้หายได้ หากเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งยังจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจตามมา ดังนั้น ถ้าเริ่มมีอาการปวดข้อที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและทำการรักษาอย่างถูกต้อง สำหรับใครที่ต้องการเสริมความมั่นใจให้กับการใช้ชีวิต และต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดโรคที่ไม่คาดคิด เลือกทำประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ที่พร้อมให้ความคุ้มครองด้านการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง อุ่นใจกับค่ารักษาพยาบาลแสนแพงเมื่อเกิดปัญหาสุขภาพได้อย่างไร้กังวล ไม่ต้องสำรองจ่าย เมื่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลในเครือข่ายกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ เลือกแผนประกันที่ตรงกับความเสี่ยงได้เลย! 

 

ข้อมูลอ้างอิง

โรคเกาต์ ความเจ็บปวดที่เลี่ยงได้ (Gout)

ตารางปริมาณพิวรีนในอาหาร

กินไก่เป็นโรคเกาต์จริงหรือ?